โดยตัวอย่างที่ผมมักจะเห็นบ่อยๆ ก็มักจะเป็นรูปด้านล่างนี้แหละครับ

เห็นรูปไหมครับ เด็กที่มีปัญหาเรื่องความพิการด้านศรีษะโต ผมเชื่อว่า คนส่วนมากเห็นรูปนี้ปุ๊ป ก็รีบกดแชร์ปั๊บ ไม่เข้าไปอ่านเนื้อหาหรือรายละเอียดเลย
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผมขออนุญาตสรุปเป็นข้อๆ เพื่อให้เห็นภาพตามง่ายๆ นะครับ
เกือบ 100% เป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา ไม่เคยมีใครบอกว่า เด็กชื่ออะไร อยู่ที่ไหน อาการเป็นอย่างไรบ้างในปัจจุบันนี้ (เพราะมันไม่มีข้อมูลเหล่านี้อยู่จริงๆ)
รูปเด็กที่มีความพิการหรือน่าสงสารแบบรูปด้านบนนั้น จะกระทบจิตใจคนที่เห็นมาก ความเป็นจริงก็คือ รูปแบบนี้คุณสามารถหาโหลดได้อย่างมากมายจากอินเทอร์เน็ต
คนทำมักจะใช้หัวข้อที่มีผลต่อจิตใจคนอ่าน เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เมื่อได้อ่าน จะเกิดความรู้สึกสงสาร,อยากช่วยเหลือ
วิธีการช่วยที่ง่าย,ลงทุนน้อย แล้วรู้สึกดีก็คือ “การแชร์” ครับ แล้วยิ่งมีเงื่อนไขว่า แชร์ 1 ครั้ง เด็กได้ 3 บาท คนแชร์ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แค่กดแชร์ เงินก็ไม่ต้องเสียเอง เลยทำให้บทความเนื้อหาแบบนี้ได้รับการแชร์หรือส่งต่อกันแบบมากมายครับ
ความเป็นจริงของบทความเหล่านี้คืออะไร?
เมื่อทางเราลองทำการคลิ้กลิ้งค์เข้าไป (ไม่ได้แชร์) ก็พบว่า เนื้อหาด้านใน ไม่ได้เกี่ยวกับไรกับเรื่องของเด็กเลย เป็นบทความภาษาอังกฤษ มีโฆษณาแปะติดไว้สักนิดหนึ่ง
คนทำบทความแบบนี้ทำเพื่ออะไร?
การวิเคราะห์จากผม ผมมองว่า เขาทำเพื่อ “เรียกคนจำนวนมากเข้าเว็บไซต์ครับ” โดยเมื่อคนที่หลงสงสารคลิ้กเข้ามา อาจจะคลิ้กดูโฆษณาในหน้าเว็บนั้นครับ ซึ่งเมื่อผู้ชมคลิ้กโฆษณา เจ้าของเว็บนั้นก็จะได้เงินค่าคลิ้กโฆษณาครับ
บทสรุปเรื่องนี้
เรื่องเด็กป่วย ไม่มีจริงครับ เป็นการหลอกให้คนแชร์และคลิ้กโฆษณาครับ เพราฉะนั้น 3 บาทที่จะได้นั้น ได้จริงครับ แต่ไม่ได้ถึงมือเด็ก (ที่ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว) แต่เงินได้เข้ากระเป๋าเจ้าของเว็บไซต์ครับ
เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว อย่าให้ใครมาหลอกเรากันอีกนะครับ ไม่ต้องคลิ้ก ไม่ต้องแชร์ต่อครับ